1 ปลูกบนพื้นที่ปลูกที่เป็นพื้นที่โลง
ผักหวานป่าเป็นไม้ยืนต้นที่โตช้า ไม่โตเร็วเหมือนไม้ยืนต้นชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น ต้นสัก ต้นมะค่า ดังนั้นต้นผักหวานป่าตามธรรมชาติ จะอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว โดยพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในป่าตามธรรมชาติ ต้นผักหวานป่าจะไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ 100 เปอร์เซ็นต์ จะได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ที่ลอดผ่านใบของต้นไม้ใหญ่ที่สูงกว่า ดังนั้นต้นผักหวานป่าจึงไม่ชอบแดดจัดโดยพันธุกรรม จึงชอบแสงแดดประมาณ 70% แสงลอดผ่านไปได้ 70% อีก 30% จะถูกพรางแสงเอาไว้ ด้วยใบของต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นปริมาณแสงและร่มเงาของต้นไม้ชนิดอื่นที่โตกว่า จึงมีมีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของต้นผักหวานป่า เพราะนี่คือธรรมชาติของมัน การปลูกผักหวานป่าให้ประสบความสำเร็จ จึงไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ แต่เป็นการเข้าใกล้ธรรมชาติ โดยการเลียนแบบตามธรรมชาติ การสังเกตุและเรียนรู้จากต้นผักหวานป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในป่า นำบทเรียนจากการสั่งเกตุและเรียนรู้มาประยุกต์นำมาปรับใช้กับการปลูกผักหวานป่าในเกษตรแปลงใหญ่ ปลูกเป็นไร่ เป็นสวน ในเวลาต่อมา
ต้นผักหวานป่าไม่อาจโตได้ในสภาพที่มีแดดจัด 100% ตลอดทั้งวัน ถ้าต้องการให้ต้นผักหวานป่าอยู่รอดจะต้องปรับสภาพแวดดล้อมให้เหมาะสม เพราะพื้นที่โล่งไม่มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาพรางแสง ผักหวานป่าก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ สำหรับพื้นที่โล่งแล้วก่อนนำพันธุ์ผักหวานมาปลูกควรมีกการปลูกต้นไม้ที่ให้ร่มเงาที่พอดี คนในวงการผักหวานป่า จะเรียกว่า ต้นไม้พี่เลี้ยง การเลือกต้นไม้พี่เลี้ยงที่เหมาะสมไม่ได้ช่วยให้ผักหวานป่ารอดตายเพียงเท่านั้นแต่ยังข่วยส่งเสริมให้ต้นผักหวานป่าโตเร็วกว่าปกติอีกด้วย
สรุปแล้วสำหรับพื้นที่โล่งก่อนที่จะนำพันธุ์ผักหวานป่าไปปลูกจำเป็นต้อง ปลูกไม้พี่เลี้ยงรอ และเช่นเดียวกับการปลูกต้นไม้ชนิดอื่น จำเป็นต้อง บำรุ่งดินให้สมบูรณ์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือการวางระบบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสปริงเกอร์หรือระบบน้ำหยด
2 พื้นบนที่ปลูกที่มีต้นไม้ชนิดอื่นขึ้นอยู่แล้ว
เนื่องจากต้นผักหวานป่าต้องปลูกภายใต้ร่มเงาของตันไม้พี่เลี้ยง และต้นไม้พี่เลี้ยงที่ดีก็ต้องพรางแสงได้ในปริมาณที่เหมาะสม แปลงปลูกของบางท่านนั้นมีต้นไม้ชนิดอื่นอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น สวนลำใย สวนมะม่วง สวนทุเรียน หรือ แม้แต่สวนกล้วย ก็ปลูกผักหวานป่าแซมลงไปได้ แต่การวางแผนการปลูก และการเตรียมการจะแตกต่างจากพื้นที่โล่ง เนื่องจากขนาดใบของต้นไม้แต่ละชนิดที่ยกตัวอย่าง มีใบขนาดใหญ่ จึงทำให้แสงจะลอดผ่านได้ในปริมาณที่น้อยกว่า 70% มีผลทำให้การปลูกผักหวานป่านั้น จะได้ผลดีเฉพาะตำแหน่งระหว่างทรงพุ่มเท่านั้น เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่แสงลอดผ่านได้ ตำแหน่งใต้ทรงพุ่มแสงลอดผ่านได้น้อย ปลูกแล้วไม่ตายก็จริงแต่จะโตช้า บางต้นอายุเกิน 5 ปี แล้วสูงแค่ศอก เก็บยอดไม่ได้ก็ไม่คุ้มค่ากับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ต้นผักหวานป่าในป่าเลือกต้นไม้พี่เลี้ยงให้ตัวเองไม่ได้ กว่าจะโตและเก็บยอดได้ก็อาจจะใช้เวลานานเกิน 10 ปี แต่การปลูกในแปลงปลูกของเราเอง ท่านนักปลูกสามารถเลือกความเหมาะสมและสิ่งที่ดีที่สุดให้ต้นผักหวานป่าของท่านได้ โดยการเตรียมพื้นที่ปลูกให้เหมาะสมและเลือกต้นไม้พี่เลี้ยงที่ดีเกื้อกูลให้โตเร็ว ถ้าปลูกถูกวิธีและดูแลถูกต้อง โดยเฉลี่ยและจะใช้เวลาปลูกเพียง 3 ปีก็จะสามารถให้ยอดเก็บแกง เก็บขายได้ บางแปลงดินอุดมสมบูรณ์มีระบบน้ำที่ดี 2 ปีก็เริ่มให้ยอดแล้ว แปลงปลูกที่เดิมทีเป็นสวนผลไม้มีการวางระบบน้ำอยู่แล้ว ก็เพียงแค่เอาพันธุ์ผักหวานป่าไปลงปลูก ดูแลให้ถูกวิธี ปลูกให้ถูกตำแหน่ง ก็สามารถเพิ่มมูลค่าให้สวนของตัวเองได้ สวนผลไม้บางปีอากาศไม่ดีไม่ติดดอกออกลูกก็มี ทำให้ในปีนั้นๆขาดรายได้ แต่ถ้ามีต้นผักหวานป่าแซมลงไปด้วย ต้นผักหวานป่าเก็บยอดขาย ไม่ได้เก็บเก็บลูก เก็บผลขาย ไม่มีทางทรยศเจ้านายผู้ให้น้ำให้ปุ๋ยอย่างแน่นอน
สำหรับสวนผลไม้ที่มีขนาดใบที่ใหญ่ จะสามารถปลูกผักหวานแซมลงไปได้ ในตำแหน่งระหว่างทรงพุ่มเท่านั้น เพราะจะได้รับปริมาณแสง ในบางช่วงของวัน ตำแหน่งระหว่างทรงพุ่มได้รับแสงแดด 100% ก็จริงแต่ไม่ได้โดนแสงแดดตลอดทั้งวันจึงมีผลทำให้ต้นผักหวานป่ารอดตายและโตเร็วได้เช่นกัน
เริ่มต้นปลูกด้วยการเตรียมพื้นที่ปลูกที่ดี จะทำให้ดูแลง่าย โตเร็ว ปัญหาตามมาน้อย
ท่านนักปลูกที่มีความสนใจปลูกผักหวานป่าต้องการข้อมูลการปลูกผักหวานป่าเชิงลึก ที่ถูกต้อง ไม่ต้องหลงทางเสียเวลาสามารถติดตามอ่านบทความ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้นะครับ
6facebook fanpage https://web.facebook.com/parkwanpa/
https://web.facebook.com/kladeeee/
Line
ID @kladee.com
https://line.me/R/ti/p/%40kladee.com
โทร 0816558262