25 Thu , April 2024

อินทรียวัตถุ

อินทรีย์วัตถุ001

อินทรียวัตถุคืออะไร สำคัญอย่างไรสำหรับดิน

    “อินทรียวัตถุ”  ถ้าเอ่ยถีงคำนี้ หลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ทราบว่าหมายถึงที่แท้จริงว่าคืออะไรกันแน่ และมีความสำคัญอย่างไรในทางการเกษตร

     อินทรียวัตถุเป็นพื้นฐานสำคัญของการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างดี ปลอดภัย ลดต้นทุนการผลิต ด้วยคุณประโยชน์อันมากมายของอินทรียวัตถุวันนี้เราจะมาทำความรู้จักอินทรียวัตถุกัน

อินทรียวัตถุ หมายถึง ซากพืช ซากสัตว์ทุกชนิดที่กำลังสลายตัว ด้วยจุลินทรีย์ สารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลาย และส่วนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่จากกระบวนการย่อยสลาย

อินทรียวัตถุในดิน มีความสำคัญต่อการปลูกพืชเนื่องจากเป็นที่สะสมธาตุอาหารพืช และยังทำให้ดินมีการถ่ายเทอากาศ อุ้มน้ำได้ดี ดินที่ผ่านการเพาะปลูกจะทำให้อินทรียวัตถุในดินลดลง จึงมีความจำเป็นต้องเติมอินทรียวัตถุในดินไม่ให้ขาดควรมีปริมาณไม่ต่ำกว่า 5% จากการสำรวจ พบว่า ดินในประเทศไทยมีปริมาณอินทรียวัตถุต่ำ ถึงปานกลาง จึงควรเติมอินทรียวัตถุเสมอ เพื่อให้ดินเหมาะแก่การเพาะปลูก

4 วิธีใช้อินทรียวัตถุให้ถูกต้อง

1. การใช้อินทรียวัตถุเป็นวัสดุคลุมดิน ได้แก่ ชิ้นไม้ เปลือกไม้ ขี้เลื่อย โดยใส่ที่ผิวดินในสภาพแห้ง เพื่อให้ถูกจุลินทรีย์ดินย่อยสลายในอัตราตํ่าที่สุด มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาผิวหน้าดิน โดยวิธีนี้เราจะไม่มุ่งหวังธาตุอาหารจากอินทรียวัตถุ

2. การใช้อินทรียวัตถุปรับปรุงโครงสร้างดิน ได้แก่ เศษซากพืชหรือพืชสด ซึ่งอินทรียวัตถุนี้จะย่อยสลายเร็วมาก และมีสารอินทรีย์จํานวนมาก และหลากหลาย แต่ต้องเติมบ่อยๆ และอาจทำให้เกิดการขาดไนโตรเจนชั่วคราว จึงต้องแก้ไขด้วยการเติมไนโตรเจนด้วย

3. การใช้อินทรียวัตถุเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน จะ ใช้อินทรียวัตถุที่มีการแปรรูปช้า เป็นแหล่งธาตุไนโตรเจน ซัลเฟต ฟอสฟอรัส และจุลธาตุทุกชนิด

4. การใช้อินทรียวัตถุเพื่อช่วยดูดซับไอออนไว้ในดิน จะใช้อินทรียวัตถุในกลุ่มที่มีการแปรรูปเฉื่อย ผ่านการย่อยสลายมามาก จนมีปริมาณธาตุอาหารพืชเหลือน้อย

การใช้อินทรียวัตถุให้เหมาะสม จึงควรคำนึงถึงเรื่องระยะเวลาเป็นสำคัญ เพราะอินทรียวัตถุเมื่อใส่ลงดิน จะถูกย่อยสลายโดยสิ่งมีชีวิตในดิน ทำให้คาร์บอน ไนโตรเจน  เปลี่ยนแปลงจากระดับสูง และค่อยๆ ลดตํ่าลง  การใช้ประโยชน์จากอินทรียวัตถุจึงควรใช้ให้ถูกประเภทในเวลาที่เหมาะสม จึงจะให้ผลลัพธ์ในการปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกได้ดีที่สุด

 

โรงอาหารของพืช หากจะเปรียบดินเสมือนโรงอาหาร คงไม่แปลกถ้าจะเปรียบพืชเป็นเหมือนกับมนุษย์  ดิน และพืชสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์และเอื้อประโยชน์ต่อกันละกัน พืชจะเจริญเติบโตได้ดี ดินก็ต้องมีสารอาหารที่สมบูรณ์ ในทางกลับกันหากดินที่ไม่มีสารอาหาร พืชก็ไม่อาจจะเจริญเติบโตได้ดี

องค์ประกอบของดินตามธรรมชาติมี 4 ส่วน คือ

1. น้ำในดิน ทำหน้าที่ช่วยละลายธาตุอาหารพืชในดินและจำเป็นสำหรับใช้ในการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารและสารประกอบต่างๆ ในต้นพืช

2. อากาศในดิน ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนแก่รากพืชและจุลินทรีย์ดินสำหรับใช้ในการหายใจ

3. แร่ธาตุในดิน เป็นส่วนที่ได้จากการผุพังทลายตัวของหินและเป็นแหล่งธาตุอาหารพืชที่สำคัญที่สุด

4. อินทรียวัตถุ เป็นส่วนที่ได้จากการเน่าเปื่อยผุพัง การสลายตัวของเศษซากพืชและสัตว์ที่ทับถมกันอยู่ในดิน อินทรียวัตถุมีความสำคัญในการทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์ในดิน

ตามลําดับขั้นตอนการถูกย่อยสลาย อินทรียวัตถุในดินสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มที่มีการแปรรูปรวดเร็ว อินทรียวัตถุในดินกลุ่มนี้มีสารประกอบที่สิ่งมีชีวิตในดินสามารถนําไปใช้ได้ในปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตในดินเกิดกิจกรรมการย่อยสลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลังการใส่อินทรียวัตถุในดินลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ต้องเติมใส่อินทรียวัตถุใหม่ๆ ลงดินอย่างสมํ่าเสมอและต่อเนื่อง  

2. กลุ่มที่มีการแปรรูปเฉื่อย อินทรียวัตถุในดินในกลุ่มนี้ผ่านการย่อยสลายมามากแล้ว เหลือเฉพาะสารที่มีรูปคงทน คาอยู่ในดินตั้งแต่ 100 -1,000 ปี อนุภาคดินค่อนข้างเหนียวแน่น ดูดซับธาตุอาหารต่างๆ ได้ดี โครงสร้างดินเป็นแบบเม็ดกลมเล็ก ทำให้ชะลอการชะล้างธาตุอาหารโดยน้ำ

3. กลุ่มที่มีการแปรรูปช้า อินทรียวัตถุในดินกลุ่มนี้มีอายุคงทนนานนับสิบปี เป็นแหล่งให้ธาตุอาหารหลักของพืช ในอัตราคงที่ต่อเนื่องยาวนาน

เพราะดินไม่ใช่เพียงแค่สำหรับให้รากพืชยึดเกาะเท่านั้น แต่ดินเปรียบเสมือนโรงอาหารแหล่งอาหารที่สำคัญของพืช  ถ้าดินขาดธาตุอาหารหรือมีไม่เพียงพอต่อ พืชก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าดินอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหาร พืชก็ย่อมสมบูรณ์และให้ผลผลิตที่ดี

     ในความเป็นจริง เกษตรกรรู้จักดินมากน้อยแค่ไหน…? และต้องยอมรับว่าดินใกล้ชิดกับเกษตรกรมากที่สุด แต่เกษตรกรกลับรู้จักน้อยที่สุด…! การไม่รู้จักสิ่งใกล้ตัวนี่เองทำให้เกษตรกรไม่ประสบความสำเร็จ ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น เพราะหมดไปกับการใส่ปุ๋ยเคมี เพราะคิดว่าคือธาตุอาหารหลักของพืชแต่ยิ่งใส่ปุ๋ยเพิ่มผลผลิตกลับเท่าเดิม และลดลงเพิ่มทางเดียวคือต้นทุน